เจาะพฤติกรรมคนไทย 2025 ยุคเศรษฐกิจผันผวนที่สุขภาพและความคุ้มค่าคือคำตอบ
อัพเดทล่าสุด: 21 ก.ค. 2025
54 ผู้เข้าชม
ความกังวลทางเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องไกลตัว
ก่อนจะไปถึงพฤติกรรมการใช้จ่าย เรามาทำความเข้าใจสภาพจิตใจของผู้บริโภคส่วนใหญ่เสียก่อน ซึ่งจากรายงานของ Dentsu ระบุอย่างชัดเจนว่า คนไทยกำลังรู้สึกถึงแรงกดดันทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็น
71% ของผู้บริโภคชาวไทยเชื่อว่า เศรษฐกิจกำลังเผชิญกับความท้าทาย
ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ 71% ของผู้ตอบแบบสอบถามรู้สึกว่า จากที่เคยคิดว่าปัญหาเศรษฐกิจเป็นเพียงแค่ความกังวล ในตอนนี้มันได้กลายเป็นความจริงที่ต้องเผชิญหน้า
เมื่อมองไปอีก 6-12 เดือนข้างหน้า คนไทยมีความกังวลสูงเป็นอันดับต้นๆ ในภูมิภาค โดย 56% คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะแย่ลงกว่านี้ ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของ APAC อยู่ที่เพียง 40%
ด้านการเงินมีเพียง 40% เท่านั้นที่ยังมั่นใจว่า จะสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายรายเดือนได้ ขณะที่ 15% กังวลว่าสถานะทางการเงินของตนจะแย่ลง ส่วนที่เหลือต่างยอมรับว่า ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น
ข้อมูล Insight เหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงอารมณ์และความรู้สึกที่คนไทยส่วนใหญ่กำลังแบกรับ เป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องคิดใหม่ทำใหม่กับทุกการใช้จ่าย และเป็นที่มาของการจัดลำดับความสำคัญที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
สุขภาพ ไม่ใช่แค่การรักษาแต่คือการป้องกัน
ในแง่ของสุขภาพเทรนด์ Preventive เริ่มมาตั้งแต่ช่วงหลังการระบาดโควิด ยิ่งภาวะที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน ยิ่งส่งผลให้ผู้คนตระหนักถึงการไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ ส่งผลให้พฤติกรรมการใช้จ่ายเอนเอียงไปสู่สินค้าและบริการที่ส่งเสริมสุขภาพอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการที่ผู้บริโภคไม่ได้มองหาสินค้าเพื่อการรักษาเมื่อเจ็บป่วยอีกต่อไป แต่เลือกที่จะจ่ายไปกับสุขภาพในระยะยาว
โดยการมองหาสินค้าที่จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน บำรุงร่างกาย และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคในอนาคต นี่คือเหตุผลที่สินค้ากลุ่มอาหารเสริม วิตามิน อาหารคลีน อาหารออร์แกนิก และผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพเชิงรุกได้รับความสนใจเป็นพิเศษ โดยทาง Dentsu แนะนำแบรนด์ว่า การแข่งขันในตลาดสินค้าสุขภาพวันนี้ ไม่ใช่การตัดราคาอีกต่อไป ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพอย่างแท้จริงและพร้อมจ่ายในราคาที่สูงขึ้น หากผู้บริโภคมั่นใจในคุณภาพ ความปลอดภัย และผลลัพธ์ที่จะได้รับ
ที่สำคัญสุขภาพในมุมมองของผู้บริโภคยุคใหม่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องร่างกาย แต่ยังรวมถึงสุขภาพจิต (Mental Wellness) และความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being) สินค้าหรือบริการที่ช่วยลดความเครียด สร้างความผ่อนคลาย เช่น การออกกำลังกาย กิจกรรมสันทนาการที่บ้าน (At-home Entertainment) หรือแม้แต่สินค้าอุปโภคบริโภคที่มาจากกระบวนการผลิตที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ก็ถูกนับรวมอยู่ในหมวดหมู่นี้เช่นกัน
ดังนั้น แบรนด์ที่ต้องการจะชนะใจผู้บริโภคในตลาดนี้ ต้องสามารถสื่อสารให้เห็นถึงคุณค่าของการมีสุขภาพที่ดีในระยะยาวอย่างชัดเจน และพิสูจน์ให้เห็นว่าสินค้าเหล่านั้นคือ การลงทุนที่ชาญฉลาด ไม่ใช่แค่ค่าใช้จ่ายที่สิ้นเปลือง
ใช้จ่ายอย่างชาญฉลาดเน้นความคุ้มค่า
เมื่อรายได้หาได้ยากมากขึ้น การใช้จ่ายทุกบาททุกสตางค์จึงต้องถูกไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ความคุ้มค่า จึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อสินค้าแทบทุกประเภท อย่างไรก็ตาม ความคุ้มค่าไม่ได้แปลว่าของถูกที่สุดเสมอไป แต่มันคือการหาจุดสมดุลระหว่าง ราคา และ คุณภาพหรือประโยชน์ ที่จะได้รับ
ซึ่งจากข้อมูลที่สำรวจโดย Dentsu ชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมการรัดเข็มขัดของผู้บริโภคอย่างชัดเจน ทั้ง
ลดสิ่งฟุ่มเฟือย เพิ่มสิ่งจำเป็น: ผลสำรวจพบว่า ผู้บริโภคทั่วทั้งเอเชีย-แปซิฟิกกำลังปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง ซึ่งหมวดหมู่สินค้าที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (Luxury Goods) และพฤติกรรมการรับประทานอาหารนอกบ้าน
เปลี่ยนไปหาที่ถูกกว่า: จากข้อมูลยังเผยให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจในช่วง 30 วันที่ผ่านมา ผู้บริโภคหันไปหาสินค้าที่ราคาถูกลงหรือสินค้าจัดรายการส่งเสริมการขายในหลายหมวดหมู่ โดยเฉพาะกลุ่มของสินค้าของชำ (Groceries) ราว9%, กลุ่มของใช้ในครัวเรือน (Household Necessities) ราว 22.4%, กลุ่มเสื้อผ้าและรองเท้า (Clothing & Footwear) ราว 20.8%
พิถีพิถันในการเลือก: ผู้บริโภคอาจจะไม่ได้หยุดซื้อสินค้าทันที แต่จะพิถีพิถันในการเลือกมากขึ้น เช่น แทนที่จะซื้อกาแฟแบรนด์ดังทุกวัน อาจจะเปลี่ยนมาซื้อเมล็ดกาแฟคุณภาพดีเพื่อชงดื่มเองที่บ้าน หรือแทนที่จะซื้อวัตถุดิบนำเข้าราคาแพง ก็หันมาอุดหนุนสินค้าเกษตรอินทรีย์จากผู้ผลิตในท้องถิ่นที่มีคุณภาพดีและราคาเข้าถึงง่ายกว่า
สำหรับแบรนด์ นี่คือสัญญาณเตือนว่า การตั้งราคาโดยไม่คำนึงถึงคุณค่าที่จะถูกส่งมอบให้ลูกค้านั้น เป็นกลยุทธ์ที่เสี่ยงอย่างยิ่ง การนำเสนอคุณภาพและความคุ้มค่าของสินค้าให้กลายเป็นจุดขายที่สามารถจับต้องได้ คือกุญแจสำคัญที่จะสร้างความไว้วางใจและความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) ได้ในระยะยาว
มุมมองต่างวัยในยุคเศรษฐกิจท้าทาย
แม้ว่าภาพรวมตลาดจะเต็มไปด้วยความกังวล แต่เมื่อมองลึกลงไปในผู้บริโภคแต่ละเจเนอเรชัน กลับพบมุมมองต่อเศรษฐกิจที่มีความผันผวนที่แตกต่างกันอย่างน่าสนใจ โดย กลุ่ม Gen Z ที่มีอายุตั้งแต่ 18-26 ปี จะเป็นกลุ่มคนมองโลกในแง่ดีที่สุด โดย 64% ของคนวัยนี้ ยังเชื่อว่าสถานะทางการเงินและสภาพเศรษฐกิจจะดีขึ้นในอีกไม่ช้า แม้ว่าความเชื่อมั่นของคนกลุ่มนี้จะลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้าจาก 42% เหลือเพียง 37% ที่มองว่าเศรษฐกิจดี และยังเป็นกลุ่มที่มีความหวังมากที่สุด
กลุ่ม Millennials ที่มีอายุตั้งแต่ 27-44 ปี เป็นกลุ่มที่ค่อนข้างมีเสถียรภาพในการมองสถานการณ์ โดย 51% ยังคงมองว่าเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ที่ดีไปจนถึงยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อน โดยกลุ่มนี้อาจเป็นกลุ่มที่อยู่ในช่วงสร้างความมั่นคงทางการงาน จึงยังมีความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอยเพื่อรักษาสมดุลของไลฟ์สไตล์อยู่บ้าง
กลุ่มผู้ใหญ่ (Adults) เป็นกลุ่มคนที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป เป็นกลุ่มที่รู้สึกถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจรุนแรงที่สุด โดยมีเพียงแค่ 34% เท่านั้นที่มองว่าเศรษฐกิจดีซึ่งลดลงจาก 39% ในทางกลับกันสัดส่วนของคนที่มองว่าเศรษฐกิจไม่ดีไปจนถึงแย่มาก กลับเพิ่มขึ้นจาก 61% เป็น 66% ทำให้คนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ระมัดระวังการใช้จ่ายและรัดเข็มขัดมากที่สุด
ความแตกต่างทางความคิดนี้สะท้อนให้เห็นว่า แบรนด์ไม่สามารถใช้กลยุทธ์ One Size Fit All ได้อีกต่อไป การสื่อสารไปยังกลุ่ม Gen Z อาจเน้นไปที่การสร้างแรงบันดาลใจและความหวัง แต่การสื่อสารกับกลุ่มผู้ใหญ่อาจต้องเน้นย้ำเรื่องความคุ้มค่า ความมั่นคง และความน่าเชื่อถือ
แบรนด์และนักการตลาดเตรียมรับมือปรับกลยุทธ์
จากข้อมูลการสำรวจทั้งหมดของ Dentsu ช่วยให้แบรนด์และนักการตลาดในประเทศไทยเห็นภาพการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน เพื่อนำไปปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในยุคเสรษฐกิจผันผวน ทั้งการนำเสนอ คุณค่า ที่ไม่ใช่แค่เน้นเรื่อง ราคา โดยเฉพาะสงครามราคาที่ไม่ควรเล่นอย่างยิ่ง แต่ควรหันมาสื่อสารให้ชัดเจนถึงความคุ้มค่าที่เหนือกว่าราคาอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นด้านคุณภาพ อายุการใช้งาน ประโยชน์ต่อสุขภาพ หรือการประหยัดในระยะยาว
ในขณะที่ผู้บริโภคกำลังกังวลและสับสน แบรนด์ที่ชี้ให้เห็นได้ชัดว่าเข้าใจสถานการณ์และพร้อมจะอยู่เคียงข้างผู้บริโภคด้วยความจริงใจ จะได้รับความไว้วางใจมากกว่าแบรนด์ที่มุ่งเน้นแต่ขายของ โดยเฉพาะการชูจุดเด่นในเรื่องของ สุขภาพ ให้ขึ้นมาเป็นจุดขายหลัก และอธิบายให้ชัดเจนเห็นถึงการลงทุนเพื่ออนาคตที่ดีกว่า
อย่างไรก็ตามจากข้อมูลยังเห็นว่า ผู้บริโภคเริ่มปรับลดการใช้จ่าย การออกแบบโปรโมชันหรือชุดสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการประหยัด จะช่วยสร้างอำนาจการตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น อย่างเช่น สินค้าขนาดใหญ่ที่ราคาต่อหน่วยถูกกว่า หรือการทำโปรแกรมสะสมคะแนนเพื่อสร้างความภักดี และต้องทำควบคู่กับการสร้างความเชื่อใจในแบรนด์ที่ต้องสื่อสารอย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา และนำเสนอสิ่งที่เหมาะสมสอดรับกับสถานการณ์ของผู้บริโภคอย่างแท้จริง
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคชาวไทยในปี 2568 นี้ อาจไม่ใช่แค่กระแสชั่วครั้งชั่วคราว แต่จะเป็นการปรับฐานความคิดและค่านิยมครั้งสำคัญที่เกิดจากแรงบีบคั้นทางเศรษฐกิจ แบรนด์จึงต้องรับมือและสื่อสารกับผู้บริโภคให้ตรงกับความต้องการทั้งในเรื่องสุขภาพและความคุ้มค่าอย่างชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคเลือกที่จะลงทุนกับแบรนด์เหล่านั้นด้วยความไว้วางใจต่อไปในระยะยาว
ก่อนจะไปถึงพฤติกรรมการใช้จ่าย เรามาทำความเข้าใจสภาพจิตใจของผู้บริโภคส่วนใหญ่เสียก่อน ซึ่งจากรายงานของ Dentsu ระบุอย่างชัดเจนว่า คนไทยกำลังรู้สึกถึงแรงกดดันทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็น
71% ของผู้บริโภคชาวไทยเชื่อว่า เศรษฐกิจกำลังเผชิญกับความท้าทาย
ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ 71% ของผู้ตอบแบบสอบถามรู้สึกว่า จากที่เคยคิดว่าปัญหาเศรษฐกิจเป็นเพียงแค่ความกังวล ในตอนนี้มันได้กลายเป็นความจริงที่ต้องเผชิญหน้า
เมื่อมองไปอีก 6-12 เดือนข้างหน้า คนไทยมีความกังวลสูงเป็นอันดับต้นๆ ในภูมิภาค โดย 56% คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะแย่ลงกว่านี้ ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของ APAC อยู่ที่เพียง 40%
ด้านการเงินมีเพียง 40% เท่านั้นที่ยังมั่นใจว่า จะสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายรายเดือนได้ ขณะที่ 15% กังวลว่าสถานะทางการเงินของตนจะแย่ลง ส่วนที่เหลือต่างยอมรับว่า ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น
ข้อมูล Insight เหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงอารมณ์และความรู้สึกที่คนไทยส่วนใหญ่กำลังแบกรับ เป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องคิดใหม่ทำใหม่กับทุกการใช้จ่าย และเป็นที่มาของการจัดลำดับความสำคัญที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
สุขภาพ ไม่ใช่แค่การรักษาแต่คือการป้องกัน
ในแง่ของสุขภาพเทรนด์ Preventive เริ่มมาตั้งแต่ช่วงหลังการระบาดโควิด ยิ่งภาวะที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน ยิ่งส่งผลให้ผู้คนตระหนักถึงการไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ ส่งผลให้พฤติกรรมการใช้จ่ายเอนเอียงไปสู่สินค้าและบริการที่ส่งเสริมสุขภาพอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการที่ผู้บริโภคไม่ได้มองหาสินค้าเพื่อการรักษาเมื่อเจ็บป่วยอีกต่อไป แต่เลือกที่จะจ่ายไปกับสุขภาพในระยะยาว
โดยการมองหาสินค้าที่จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน บำรุงร่างกาย และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคในอนาคต นี่คือเหตุผลที่สินค้ากลุ่มอาหารเสริม วิตามิน อาหารคลีน อาหารออร์แกนิก และผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพเชิงรุกได้รับความสนใจเป็นพิเศษ โดยทาง Dentsu แนะนำแบรนด์ว่า การแข่งขันในตลาดสินค้าสุขภาพวันนี้ ไม่ใช่การตัดราคาอีกต่อไป ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพอย่างแท้จริงและพร้อมจ่ายในราคาที่สูงขึ้น หากผู้บริโภคมั่นใจในคุณภาพ ความปลอดภัย และผลลัพธ์ที่จะได้รับ
ที่สำคัญสุขภาพในมุมมองของผู้บริโภคยุคใหม่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องร่างกาย แต่ยังรวมถึงสุขภาพจิต (Mental Wellness) และความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being) สินค้าหรือบริการที่ช่วยลดความเครียด สร้างความผ่อนคลาย เช่น การออกกำลังกาย กิจกรรมสันทนาการที่บ้าน (At-home Entertainment) หรือแม้แต่สินค้าอุปโภคบริโภคที่มาจากกระบวนการผลิตที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ก็ถูกนับรวมอยู่ในหมวดหมู่นี้เช่นกัน
ดังนั้น แบรนด์ที่ต้องการจะชนะใจผู้บริโภคในตลาดนี้ ต้องสามารถสื่อสารให้เห็นถึงคุณค่าของการมีสุขภาพที่ดีในระยะยาวอย่างชัดเจน และพิสูจน์ให้เห็นว่าสินค้าเหล่านั้นคือ การลงทุนที่ชาญฉลาด ไม่ใช่แค่ค่าใช้จ่ายที่สิ้นเปลือง
ใช้จ่ายอย่างชาญฉลาดเน้นความคุ้มค่า
เมื่อรายได้หาได้ยากมากขึ้น การใช้จ่ายทุกบาททุกสตางค์จึงต้องถูกไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ความคุ้มค่า จึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อสินค้าแทบทุกประเภท อย่างไรก็ตาม ความคุ้มค่าไม่ได้แปลว่าของถูกที่สุดเสมอไป แต่มันคือการหาจุดสมดุลระหว่าง ราคา และ คุณภาพหรือประโยชน์ ที่จะได้รับ
ซึ่งจากข้อมูลที่สำรวจโดย Dentsu ชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมการรัดเข็มขัดของผู้บริโภคอย่างชัดเจน ทั้ง
ลดสิ่งฟุ่มเฟือย เพิ่มสิ่งจำเป็น: ผลสำรวจพบว่า ผู้บริโภคทั่วทั้งเอเชีย-แปซิฟิกกำลังปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง ซึ่งหมวดหมู่สินค้าที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (Luxury Goods) และพฤติกรรมการรับประทานอาหารนอกบ้าน
เปลี่ยนไปหาที่ถูกกว่า: จากข้อมูลยังเผยให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจในช่วง 30 วันที่ผ่านมา ผู้บริโภคหันไปหาสินค้าที่ราคาถูกลงหรือสินค้าจัดรายการส่งเสริมการขายในหลายหมวดหมู่ โดยเฉพาะกลุ่มของสินค้าของชำ (Groceries) ราว9%, กลุ่มของใช้ในครัวเรือน (Household Necessities) ราว 22.4%, กลุ่มเสื้อผ้าและรองเท้า (Clothing & Footwear) ราว 20.8%
พิถีพิถันในการเลือก: ผู้บริโภคอาจจะไม่ได้หยุดซื้อสินค้าทันที แต่จะพิถีพิถันในการเลือกมากขึ้น เช่น แทนที่จะซื้อกาแฟแบรนด์ดังทุกวัน อาจจะเปลี่ยนมาซื้อเมล็ดกาแฟคุณภาพดีเพื่อชงดื่มเองที่บ้าน หรือแทนที่จะซื้อวัตถุดิบนำเข้าราคาแพง ก็หันมาอุดหนุนสินค้าเกษตรอินทรีย์จากผู้ผลิตในท้องถิ่นที่มีคุณภาพดีและราคาเข้าถึงง่ายกว่า
สำหรับแบรนด์ นี่คือสัญญาณเตือนว่า การตั้งราคาโดยไม่คำนึงถึงคุณค่าที่จะถูกส่งมอบให้ลูกค้านั้น เป็นกลยุทธ์ที่เสี่ยงอย่างยิ่ง การนำเสนอคุณภาพและความคุ้มค่าของสินค้าให้กลายเป็นจุดขายที่สามารถจับต้องได้ คือกุญแจสำคัญที่จะสร้างความไว้วางใจและความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) ได้ในระยะยาว
มุมมองต่างวัยในยุคเศรษฐกิจท้าทาย
แม้ว่าภาพรวมตลาดจะเต็มไปด้วยความกังวล แต่เมื่อมองลึกลงไปในผู้บริโภคแต่ละเจเนอเรชัน กลับพบมุมมองต่อเศรษฐกิจที่มีความผันผวนที่แตกต่างกันอย่างน่าสนใจ โดย กลุ่ม Gen Z ที่มีอายุตั้งแต่ 18-26 ปี จะเป็นกลุ่มคนมองโลกในแง่ดีที่สุด โดย 64% ของคนวัยนี้ ยังเชื่อว่าสถานะทางการเงินและสภาพเศรษฐกิจจะดีขึ้นในอีกไม่ช้า แม้ว่าความเชื่อมั่นของคนกลุ่มนี้จะลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้าจาก 42% เหลือเพียง 37% ที่มองว่าเศรษฐกิจดี และยังเป็นกลุ่มที่มีความหวังมากที่สุด
กลุ่ม Millennials ที่มีอายุตั้งแต่ 27-44 ปี เป็นกลุ่มที่ค่อนข้างมีเสถียรภาพในการมองสถานการณ์ โดย 51% ยังคงมองว่าเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ที่ดีไปจนถึงยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อน โดยกลุ่มนี้อาจเป็นกลุ่มที่อยู่ในช่วงสร้างความมั่นคงทางการงาน จึงยังมีความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอยเพื่อรักษาสมดุลของไลฟ์สไตล์อยู่บ้าง
กลุ่มผู้ใหญ่ (Adults) เป็นกลุ่มคนที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป เป็นกลุ่มที่รู้สึกถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจรุนแรงที่สุด โดยมีเพียงแค่ 34% เท่านั้นที่มองว่าเศรษฐกิจดีซึ่งลดลงจาก 39% ในทางกลับกันสัดส่วนของคนที่มองว่าเศรษฐกิจไม่ดีไปจนถึงแย่มาก กลับเพิ่มขึ้นจาก 61% เป็น 66% ทำให้คนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ระมัดระวังการใช้จ่ายและรัดเข็มขัดมากที่สุด
ความแตกต่างทางความคิดนี้สะท้อนให้เห็นว่า แบรนด์ไม่สามารถใช้กลยุทธ์ One Size Fit All ได้อีกต่อไป การสื่อสารไปยังกลุ่ม Gen Z อาจเน้นไปที่การสร้างแรงบันดาลใจและความหวัง แต่การสื่อสารกับกลุ่มผู้ใหญ่อาจต้องเน้นย้ำเรื่องความคุ้มค่า ความมั่นคง และความน่าเชื่อถือ
แบรนด์และนักการตลาดเตรียมรับมือปรับกลยุทธ์
จากข้อมูลการสำรวจทั้งหมดของ Dentsu ช่วยให้แบรนด์และนักการตลาดในประเทศไทยเห็นภาพการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน เพื่อนำไปปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในยุคเสรษฐกิจผันผวน ทั้งการนำเสนอ คุณค่า ที่ไม่ใช่แค่เน้นเรื่อง ราคา โดยเฉพาะสงครามราคาที่ไม่ควรเล่นอย่างยิ่ง แต่ควรหันมาสื่อสารให้ชัดเจนถึงความคุ้มค่าที่เหนือกว่าราคาอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นด้านคุณภาพ อายุการใช้งาน ประโยชน์ต่อสุขภาพ หรือการประหยัดในระยะยาว
ในขณะที่ผู้บริโภคกำลังกังวลและสับสน แบรนด์ที่ชี้ให้เห็นได้ชัดว่าเข้าใจสถานการณ์และพร้อมจะอยู่เคียงข้างผู้บริโภคด้วยความจริงใจ จะได้รับความไว้วางใจมากกว่าแบรนด์ที่มุ่งเน้นแต่ขายของ โดยเฉพาะการชูจุดเด่นในเรื่องของ สุขภาพ ให้ขึ้นมาเป็นจุดขายหลัก และอธิบายให้ชัดเจนเห็นถึงการลงทุนเพื่ออนาคตที่ดีกว่า
อย่างไรก็ตามจากข้อมูลยังเห็นว่า ผู้บริโภคเริ่มปรับลดการใช้จ่าย การออกแบบโปรโมชันหรือชุดสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการประหยัด จะช่วยสร้างอำนาจการตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น อย่างเช่น สินค้าขนาดใหญ่ที่ราคาต่อหน่วยถูกกว่า หรือการทำโปรแกรมสะสมคะแนนเพื่อสร้างความภักดี และต้องทำควบคู่กับการสร้างความเชื่อใจในแบรนด์ที่ต้องสื่อสารอย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา และนำเสนอสิ่งที่เหมาะสมสอดรับกับสถานการณ์ของผู้บริโภคอย่างแท้จริง
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคชาวไทยในปี 2568 นี้ อาจไม่ใช่แค่กระแสชั่วครั้งชั่วคราว แต่จะเป็นการปรับฐานความคิดและค่านิยมครั้งสำคัญที่เกิดจากแรงบีบคั้นทางเศรษฐกิจ แบรนด์จึงต้องรับมือและสื่อสารกับผู้บริโภคให้ตรงกับความต้องการทั้งในเรื่องสุขภาพและความคุ้มค่าอย่างชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคเลือกที่จะลงทุนกับแบรนด์เหล่านั้นด้วยความไว้วางใจต่อไปในระยะยาว
บทความที่เกี่ยวข้อง
ปฏิเสธไม่ได้ว่า AI ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของใครหลาย ๆ คน เช่น ช่วยทำงาน หาข้อมูล
ล่าสุด Common Sense Media แพลตฟอร์มให้คำแนะนำด้านเทคโนโลยีสำหรับเด็กและครอบครัว ได้มีการสำรวจวัยรุ่นสัญชาติอเมริกัน อายุระหว่าง 13-17 ปี จำนวน 1,060 คน ออกมาเป็นรายงาน “ชื่อว่า Talk, Trust, and Trade-offs : How and Why Teens Use AI Companions”
ซึ่งรายงานนี้มีอินไซต์น่าสนใจหลาย ๆ อย่าง เกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กวัยรุ่นที่เริ่มใช้ “AI Companion” หรือ AI ที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเพื่อนกันมากขึ้น และมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับ AI อยู่บ่อย ๆ
ตัวอย่างของ AI Companion ที่เป็นที่นิยม เช่น CHAI AI, character ai, Nomi ai และ Replika
ที่น่าสนใจคือ ถึงเทรนด์นี้จะเพิ่งเริ่มต้น แต่ก็มีแนวโน้มเติบโต และกระจายเป็นวงกว้างไปทั่วโลกอีกด้วย
30 ก.ค. 2025
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วของโลกยุคดิจิทัล สิ่งหนึ่งที่ยังคงฝังแน่นอยู่ในวิถีชีวิตของคนไทย คือความเชื่อ ความศรัทธา และการแสวงหา “ที่พึ่งทางใจ” โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่รายจ่ายมากกว่ารายรับ ความมั่นคงในชีวิตดูห่างไกล หลายคนหันมาพึ่งพาจิตวิญญาณเพื่อเยียวยา สร้างพลังใจ และปลอบประโลมจิตใจตัวเองในแบบที่เทคโนโลยีก็ไม่อาจทดแทนได้—หรืออย่างน้อย ก็เคยเชื่อกันเช่นนั้น
แต่ในวันนี้ เทคโนโลยีและศรัทธาได้กลายเป็นพันธมิตรกันอย่างกลมกลืนบนแพลตฟอร์มที่คุ้นเคยอย่าง LINE ดูดวง ที่ไม่ได้ทำหน้าที่แค่บอกดวงรายวันหรือทำนายชะตาชีวิต แต่ยังขยายบทบาทออกไปสู่พื้นที่ใหม่อย่างการขอพร แก้บน และทำบุญผ่านหน้าจอมือถือที่ทุกคนถืออยู่ในมือ
25 ก.ค. 2025
เช็คสภาพ เช็คอาการ ในใจผู้บริโภคกัน ล่าสุด รางานการสํารวจ Dentsu APAC Consumer Mindset: ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเอเชียแปซิฟิกลดลงเนื่องจาก Gen Z รู้สึกถึงความกดดัน
24 ก.ค. 2025